
น้ำหอมเป็นมากกว่าเพียงแค่กลิ่นหอม แต่เป็นสิ่งส่งเสริมบุคลิกภาพและบ่งบอกถึงตัวตนของผู้ใช้ ในปัจจุบันน้ำหอมมีหลายประเภทให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นชนิดยอดนิยมอย่าง Eau de Parfum (EDP) หรือ Eau de Toilette (EDT) และชนิดอื่นๆ ซึ่งการทำความเข้าใจคุณสมบัติของน้ำหอมแต่ละแบบจะช่วยให้เลือกประเภทน้ำหอมที่เหมาะสมกับสไตล์และความต้องการของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
ในฐานะที่ THEMYTH เป็นผู้เชี่ยวชาญและจัดจำหน่ายFragranceคุณภาพสูงจะมาอธิบายถึงรายละเอียดต่างๆ ว่าน้ำหอม EDP EDT คืออะไร บอกข้อแตกต่างสำคัญ พร้อมแนะนำน้ำหอมเกรดต่างๆ ในบทความนี้
Eau De Parfum (EDP) คืออะไร
Eau De Parfum (โอ เดอ ปาร์ฟูม) คือ น้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูง โดยมีหัวเชื้อน้ำหอม (Fragrance Oil) ความเข้มข้นสูงช่วง 10-20% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเภทน้ำหอมที่ได้รับความนิยมสูง โดยมีคุณสมบัติเด่น ดังนี้
คุณสมบัติเด่นของ EDP
- กลิ่นชัดเจน มีมิติหลากหลาย – เนื่องจากมีปริมาณความเข้มข้นของน้ำหอมสูง น้ำหอม EDP จึงให้กลิ่นที่โดดเด่นและมีมิติหลากหลาย
- สามารถใช้ในชีวิตประจำวัน – Eau De Parfum ถือเป็นชนิดน้ำหอมที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในการทำงานหรือท่องเที่ยว รวมถึงยังสามารถใช้ในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น งานเลี้ยง หรืองานทางการ
Eau De Toilette (EDT) คืออะไร
น้ำหอม EDT หรือ Eau De Toilette (โอ เดอ ทัวเล็ต) คือ น้ำหอมที่มีความเข้มข้นในระดับปานกลาง โดยมีสัดส่วนของFragranceอยู่ที่ราวๆ 5-10% จึงทำให้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการน้ำหอมสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยมีคุณสมบัติเด่น ได้แก่
คุณสมบัติเด่นของ EDT
- กลิ่นที่เบาสบาย – ตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นแรง และสามารถใช้กันคนที่ชอบเลเยอร์กลิ่นน้ำหอม หรือผสมผสานน้ำหอมหลายๆ กลิ่นเข้าด้วยกัน
- มีราคาเข้าถึงง่าย – เมื่อเทียบกับ EDP น้ำหอม EDT จะมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนความเข้มข้นของหัวเชื้อน้ำหอมในปริมาณที่น้อยกว่า
Eau De Toilette vs Eau De Parfum เลือกน้ำหอมประเภทไหนดี
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าน้ำหอมยอดนิยมทั้งสองประเภทนั้นมีข้อแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของน้ำหอม ระยะเวลาการใช้งาน และราคา ทั้งนี้หลายคนอาจยังสงสัยว่าระหว่าง EDT กับ EDP อันไหนดีกว่ากัน
การเลือกประเภทน้ำหอมนั้นขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและโจทย์การใช้งานเป็นหลัก ทั้งนี้ มีข้อแนะนำเบื้องต้นในการเลือกระหว่าง Eau De Parfum และ Eau De Toilette ดังนี้
- Eau De Parfum (EDP) มีระดับความเข้มข้นสูงกว่าEau De Toilette (EDT) ซึ่งให้กลิ่นน้ำหอมที่ชัดเจน ซับซ้อน มีมิติ ให้ความรู้สึกหรูหรา และอยู่คงได้ยาวนานกว่า
- Eau De Toilette (EDT) ให้กลิ่นที่เบาสบายกว่า จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นแรงๆ หรือผู้ที่ต้องการเลเยอร์กลิ่นน้ำหอม เพื่อสร้างกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
- โดยปกติ Eau De Parfum (EDP) มีราคาสูงกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนของหัวเชื้อน้ำหอมที่สูงกว่า สำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดงบ น้ำหอม Eau De Toilette (EDT) อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
- Eau De Toilette (EDT) เหมาะสำหรับใช้ในประจำวัน โดยมีอายุการใช้งาน 2-4 ชั่วโมง ให้กลิ่นที่สบายจมูก และสามารถฉีดเพิ่มระหว่างวันได้ โดยที่ไม่เป็นการเพิ่มความเข้มข้นของกลิ่นมากเกินไป
ชนิดน้ำหอมอื่นๆ ที่ควรรู้จัก
แม้ EDP EDT จะเป็นชนิดน้ำหอมเป็นที่นิยมสูง แต่ก็มีน้ำหอมชนิดอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่
Eau de Cologne (EDC)
Eau de Cologne (EDC) เป็นน้ำหอมที่มีความเข้มข้นรองจาก EDT โดยมีความเข้มข้นของFragranceเพียง 2-5% จึงให้กลิ่นที่เบาสบายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็มีอายุการใช้งานที่สั้น เพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่ผู้ที่ไวต่อกลิ่น ต้องการกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่รบกวนผู้อื่น หรือใช้สำหรับเติมน้ำหอมระหว่างวัน
Eau Fraîche
มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า Splash หรือ Aftershave เป็นน้ำหอมที่ถือว่ามีกลิ่นเบาที่สุด โดยมีความเข้มข้นต่ำเพียง 1-3% เท่านั้น ให้กลิ่นที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อน มักนิยมฉีดเพื่อความสดชื่นในยามเช้า หรือหลังอาบน้ำเสร็จ โดยที่ไม่ได้ต้องการให้กลิ่นติดทนนาน อีกทั้งยังใช้ได้ในหลายโอกาส เช่น ไปเที่ยวพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง
Parfum (Extrait de Parfum)
Parfum คือชนิดน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงที่สุด โดยสัดส่วนหัวเชื้อน้ำหอมสูงถึง 15-40% เลยทีเดียว จึงให้กลิ่นที่เข้มข้น ซับซ้อน และมีมิติเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีความคงทนมากที่สุด สามารถอยู่ได้ยาวนาน 6-8 ชั่วโมง โดยไม่ต้องฉีดซ้ำระหว่างวัน แต่ก็มีราคาที่สูงที่สุดในประเภทน้ำหอมทั้งหมดที่กล่าวมา ซึ่งเป็นชนิดน้ำหอมที่เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ หรืองานกาล่าดินเนอร์
ตารางเปรียบเทียบชนิดน้ำหอม
ประเภทน้ำหอม | ความเข้มข้นหัวน้ำหอม (%) | ระยะเวลาติดทน (บนผิว) | ลักษณะกลิ่น | ราคา |
---|---|---|---|---|
Parfum (Extrait de Parfum) | 15-40% | 6-8 ชั่วโมง | กลิ่นชัดเจน มีความซับซ้อน ติดทนนาน | สูงที่สุด |
Esprit de Parfum | 15-30% | 5-8 ชั่วโมง | กลิ่นเข้มข้นใกล้เคียง Parfum | สูง |
Eau de Parfum (EDP) | 10-20% | 4-5 ชั่วโมง | กลิ่นชัดเจน มีมิติหลากหลาย | สูง |
Eau de Toilette (EDT) | 5-10% | 2-4 ชั่วโมง | กลิ่นที่เบาสบาย | ปานกลาง |
Eau de Cologne | 3-8% | 1-2 ชั่วโมง | กลิ่นสดชื่น เบาบาง | ปานกลาง |
Eau Fraîche, Splash, Aftershave | 1-3% | น้อยกว่า 2 ชั่วโมง | กลิ่นอ่อน นุ่มนวล | เข้าถึงง่ายที่สุด |
เลือกน้ำหอมอย่างไรให้เหมาะสม
เพื่อให้น้ำหอมที่เลือกใช้เหมาะสมและเสริมสร้างบุคลิกภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ การพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ค้นพบ “กลิ่นที่เป็นตัวเอง” ได้ง่ายขึ้น
1. พิจารณาไลฟ์สไตล์หรือโอกาส
การเลือกน้ำหอมควรสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ประจำวันและโอกาสในการใช้งานของ สำหรับผู้ที่แอคทีฟ ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง น้ำหอมที่มีกลิ่นเบาสบาย เช่น Eau Fraiche หรือ Eau de Toilette (EDT) จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะไม่ฉุนจนเกินไปและให้ความรู้สึกหอมอ่อนๆ ตลอดวัน ในทางกลับกัน สำหรับงานเลี้ยงสังสรรค์ งานทางการ หรือโอกาสพิเศษที่ต้องการสร้างความประทับใจและให้กลิ่นติดทนนาน น้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูงอย่าง Eau de Parfum (EDP) จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
2. เลือกตามความชอบ (ระดับความเข้มข้นของกลิ่น)
เชื่อว่าทุกคนมีความชอบในกลิ่นที่แตกต่างกันไป รวมถึงระดับความเข้มข้นของน้ำหอมนั้นๆ บางคนอาจชื่นชอบน้ำหอมที่มีกลิ่นชัดเจนและมีมิติ ส่วนบางคนที่ไวต่อกลิ่นอาจชื่นชอบน้ำหอมที่มีกลิ่นเบาบางกว่า โดยสามารถเรียงระดับความเข้มข้นของน้ำหอมจากเข้มข้นน้อยที่สุดไปถึงเข้มข้นมากที่สุดได้ดังนี้ Eau Fraiche (1-3%), Eau de Toilette (7-12%), Eau de Parfum (15-20%) และ Parfum (20-40%)
3. คำนึงถึงโน๊ต (Note) ของกลิ่นน้ำหอม
น้ำหอมกลิ่นต่างๆ ประกอบด้วย “โน๊ต” (Note) ที่จะค่อยๆ เผยออกมาเมื่อเวลาผ่านไป เช่น
- Top Notes – เป็นกลิ่นแรกที่สัมผัสได้ทันทีหลังจากฉีด และจะจางหายไปในเวลา 5-15 นาที
- Middle Notes – เป็นกลิ่นของหัวเชื้อในน้ำหอม โดยกลิ่นจะเริ่มเด่นชัดขึ้นหลังจาก Top Notes จางไป ซึ่งกลิ่นจะติดทนราวๆ 20-60 นาที
- Base Notes – เป็นกลิ่นสุดท้ายที่จะเริ่มเด่นชัดขึ้นต่อจาก Middle Notes ซึ่งเป็นกลิ่นที่ติดทนอยู่บนผิวได้นานที่สุด และกลิ่นอาจอยู่บนผิวได้นานกว่า 6 ชั่วโมง
เมื่อทดลองฉีดน้ำหอม แนะนำให้ฉีดลงบนผิวโดยตรง (เช่น ข้อมือ) และรอให้กลิ่นต่างๆ ปรากฎไปตามแต่ละโน๊ต โดยควรใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้สามารถสัมผัสกลิ่นที่คงอยู่บนผิวจริง
4. งบประมาณและคุณภาพที่ลงตัว
น้ำหอมมีราคาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของน้ำหอม แบรนด์ ส่วนผสมที่ใช้ และขนาดของผลิตภัณฑ์ การกำหนดงบประมาณจะช่วยจำกัดตัวเลือกและทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น แม้ว่าน้ำหอมราคาแพงอาจมีส่วนผสมที่ซับซ้อนและติดทนนานกว่า แต่ก็มีหลายแบรนด์ที่จำหน่ายน้ำหอมในราคาเข้าถึงได้เช่นกัน ทั้งยังมีคุณภาพที่ดีและกลิ่นที่น่าสนใจ ดังนั้น การเลือกน้ำหอมที่เหมาะสมจึงไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นการหาความสมดุลระหว่างคุณภาพ กลิ่นที่ชอบ และงบประมาณที่ตั้งไว้
น้ำหอม EDP, EDT รวมถึงน้ำหอมประเภทอื่นๆ ล้วนมีข้อแตกต่างกันอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจลักษณะและความโดดเด่นของน้ำหอมแต่ละชนิดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เลือกซื้อน้ำหอมที่เหมาะสม ตรงกับไลฟ์สไตล์ และความต้องการของตัวเอง ทั้งยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ความชอบ โน๊ต และงบประมาณร่วมด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำหอมนั้นๆ จะช่วยแสดง “ตัวตน” ออกมาได้เต็มที่
THEMYTH จัดจำหน่ายหัวเชื้อน้ำหอมและน้ำมันหอมระเหย
สำหรับผู้ที่มองหาพาร์ตเนอร์ในการจัดจำหน่ายFragrance หรือมองหาEssential Oils:สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ THEMYTH คือ หนึ่งในผู้นำการจัดจำหน่ายน้ำหอมและวัตถุดิบในประเทศไทย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการใช้หัวน้ำหอมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์และจัดหาวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมทั่วโลก เพื่อส่งต่อความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าให้แก่ทุกคนที่ได้สัมผัส