
ทำความเข้าใจน้ำหอมกลิ่นต่างๆ ด้วย Fragrance Wheel พร้อมแนะนำ 5 แบรนด์น้ำหอมคลาสสิก
สำหรับผู้ที่ต้องการมองหากลิ่นน้ำหอมที่เหมาะกับตนเอง หรือกำลังศึกษาน้ำหอมยอดนิยมเพื่อสร้างแบรนด์น้ำหอมของตัวเอง ในปัจจุบันตลาดน้ำหอมมีความหลากหลายอย่างมาก มีตัวเลือกน้ำหอมกลิ่นต่างๆ (Scent) จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งน้ำหอมจากแบรนด์ชื่อดังระดับโลกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไปถึงจนแบรนด์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด โดยหากได้ทดลองน้ำหอมจากหลายๆ แบรนด์ จะสังเกตได้ว่าแต่ละแบรนด์ตั้งชื่อที่เป็นเอกลักษณ์และสร้างกลิ่นที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อสื่อถึงอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่ต้องการถ่ายทอดสู่ผู้บริโภค
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “น้ำหอมมีกลิ่นแบบไหนบ้าง” และ “กลิ่นแบบไหนที่เหมาะกับเราที่สุด” ซึ่งคำถามเหล่านี้สำคัญไม่เพียงสำคัญต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์น้ำหอมของตัวเอง หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นหอมเป็นองค์ประกอบสำคัญ
THEMYTH ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและจัดจำหน่ายFragranceคุณภาพสูง พร้อมที่จะพาคุณสำรวจโลกของน้ำหอมที่มีกลิ่นอันหลากหลาย อธิบายถึงหมวดหมู่ของกลิ่นต่างๆ พร้อมแนะนำ 5 แบรนด์น้ำหอมระดับโลกที่ครองใจผู้คนมายาวนาน รวมถึงเคล็ดลับในการเลือกกลิ่นที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
รู้จัก Fragrance Wheel วงล้อแบ่งหมวดหมู่น้ำหอม
Fragrance Wheel หรือ “วงล้อน้ำหอม” คือ เครื่องมือที่ใช้ในการจำแนกประเภทของโน้ตกลิ่นน้ำหอมและทำความเข้าใจโครงสร้างของกลิ่น และทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของกลิ่นต่างๆ วงล้อนี้ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1983 โดย ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด (Michael Edwards) ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมจากอังกฤษ โดยวงล้อนี้ออกแบบมาเพื่อให้การสื่อสารเรื่องกลิ่นเป็นไปอย่างมีระบบและเข้าใจได้ง่าย
วงล้อนี้แบ่งกลิ่นออกเป็น 4 ตระกูลหลัก คือ Fresh Notes, Floral Notes, Oriental Notes and Woody Notes โดยแต่ละหมวดมีกลุ่มกลิ่นย่อยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรียบเรียงตั้งแต่หัวน้ำหอมที่ให้กลิ่นบางเบา อ่อนโยน สดใส สดชื่น และระเหยได้ไวที่สุด ไปจนถึงน้ำหอมที่มีกลิ่นช่วยมอบความหวานละมุนละไม และระเหยช้าที่สุด ซึ่งลักษณะของกลิ่นน้ำหอมในแต่ละตระกูลสามารถอธิบายได้ ดังนี้
1. Fresh (ตระกูลกลิ่นสดชื่น)
กลิ่นในกลุ่ม Fresh ให้ความรู้สึกสดชื่น สะอาด ปลอดโปร่ง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเบาสบาย กลิ่นเบาบาง โดยน้ำหอมกลิ่นสดชื่นและสะอาดในกลุ่มนี้มักได้รับความนิยมในช่วงฤดูร้อนหรือสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งกลุ่มกลิ่นย่อยในหมวดนี้ประกอบด้วย
-
Fruity
กลิ่นของผลไม้ชนิดต่างๆ มีความหอมหวาน ฉ่ำ และมักจะให้ความรู้สึกที่ “น่ากิน” มีความสดใส ร่าเริง มีชีวิตชีวา และมักจะสื่อถึงความอ่อนเยาว์และความสุข
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ ลูกพีช (Peach), แอปริคอต (Apricot), เชอร์รี (Cherry), พลัม (Plum), แอปเปิล (Apple), ลูกแพร์ (Pear), สับปะรด (Pineapple), ลิ้นจี่ (Lychee), ทับทิม (Pomegranate)
-
Green
กลิ่นเหมือนใบไม้ใบหญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ หรือใบไม้สีเขียวที่ถูกขยี้ ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบธรรมชาติแท้ๆ เหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้า ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ ใบไม้สีเขียว (Green Leaves), ชาเขียว (Green Tea), ไผ่ (Bamboo)
-
Water
น้ำหอมกลิ่นสดชื่นที่ทำให้นึกถึงทะเล ลมทะเล หรืออากาศหลังฝนตก ให้ความรู้สึกโปร่งเบา สะอาด และสดชื่น
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ ละอองทะเล (Sea Spray), แตงกวา (Cucumber), ดอกบัว (Water Lily)
-
Citrus
กลิ่นเปรี้ยวซ่าและสดใสจากผลไม้ตระกูลส้ม ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลัง และร่าเริง
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ มะกรูด (Bergamot), เลมอน (Lemon), ส้มแมนดาริน (Mandarin)
-
Aromatic
มีลักษณะเป็นกลิ่นสมุนไพรสะอาดๆ ที่มักจะผสมผสานกับลาเวนเดอร์หรือกลิ่นไม้ ให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย เป็นกลิ่นในกลุ่มที่เรียกว่า “ฟูแจร์” (Fougère)
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ ลาเวนเดอร์ (Lavender), โรสแมรี่ (Rosemary), เสจ (Sage)
2. Floral (ตระกูลกลิ่นดอกไม้)
ตระกูลกลิ่นดอกไม้ ถือเป็นหนึ่งกลุ่มน้ำหอมที่ใหญ่และหลายคนยอมรับว่าเป็น “น้ำหอมที่หอมที่สุด” รวมถึงได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้หญิง เนื่องจากเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ละมุนละไม มีเสน่ห์ เหมาะสำหรับทุกโอกาส ตั้งแต่การใช้ในชีวิตประจำวันไปจนถึงงานทางการ โดยมีกลุ่มย่อยประกอบด้วย
-
Floral
กลิ่นหอมสดชื่นของช่อดอกไม้จริง เช่น กุหลาบที่เพิ่งบาน หรือลิลลี่ในแจกัน เป็นกลิ่นดอกไม้ที่ชัดเจนและคลาสสิก
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ กุหลาบ (Rose), มะลิ (Jasmine), ลิลลี่ (Lily), พีโอนี (Peony)
-
Soft Floral
มีลักษณะกลิ่นดอกไม้ที่นุ่มนวล อ่อนโยน มีความหวานละมุนคล้ายแป้ง (Powdery) มักจะมีส่วนผสมของอัลดีไฮด์ (Aldehydes) ที่ให้ความรู้สึกสะอาด
โน้ตที่พบบ่อย เช่น ดอกไอริส (Iris), ดอกไวโอเล็ต (Violet), อัลดีไฮด์ (Aldehydes)
3. Oriental (ตระกูลกลิ่นหรูหราตะวันออก)
น้ำหอมกลิ่นหรูหรามีอะไรบ้าง? คำตอบอยู่ในตระกูล Oriental ที่เต็มไปด้วยกลิ่นที่หรูหรา อบอุ่น เข้มข้น ลึกลับ และเย้ายวน มักจะมีส่วนผสมของเครื่องเทศ ยางไม้หอม (Resins) และวานิลลา เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษต่างๆ โดยมีกลุ่มย่อยได้แก่
-
Floral Oriental
เป็นการผสมผสานระหว่างกลิ่นดอกไม้ที่โดดเด่น กับกลิ่นเครื่องเทศหวานๆ ที่มีความอบอุ่น ให้ความรู้สึกหรูหราและซับซ้อนยิ่งขึ้น
โน้ตที่พบบ่อย เช่น ดอกส้ม (Orange Blossom), ฟรีเซีย (Freesia), เครื่องเทศหวาน (Sweet Spices)
-
Soft Oriental
มีลักษณะกลิ่นหอมของกำยานและเครื่องเทศที่นุ่มนวล ไม่จัดจ้านจนเกินไป ให้ความรู้สึกความอบอุ่นพร้อมแฝงไปด้วยความสดชื่น
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ กำยาน (Incense), โป๊ยกั๊ก (Anise), กระวาน (Cardamom)
-
Oriental
กลิ่นที่เป็นหัวใจของตระกูลนี้ มีลักษณะหอมหวานและอบอุ่นที่ชัดเจน ให้ความรู้สึกหรูหรา ลึกลับ และน่าค้นหา
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ วานิลลา (Vanilla), อบเชย (Cinnamon), ยางไม้หอมเมอร์ (Myrrh)
-
Woody Oriental
เป็นการนำความอบอุ่นของตระกูล Oriental มาผสมกับกลิ่นดินและไม้หอม เช่น พิมเสนและไม้จันทน์หอม ทำให้กลิ่นมีมิติที่ลึกและหนักแน่นขึ้น
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ ไม้จันทน์หอม (Sandalwood), พิมเสน (Patchouli), เครื่องเทศ (Spices)
4. Woody (ตระกูลกลิ่นไม้)
ตระกูลกลิ่นธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าไม้ มีกลิ่นของเปลือกไม้และมอสเป็นหลัก ให้ความรู้สึกอบอุ่น สุขุม และมั่นคง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกลิ่นที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและใกล้ชิดธรรมชาติ มีกลุ่มกลิ่นย่อย ดังนี้
-
Woods
กลิ่นไม้หอมแบบคลาสสิกและชัดเจน เช่น กลิ่นจากไม้ซีดาร์ที่เพิ่งตัดใหม่ หรือกลิ่นดินแห้งๆ ของหญ้าแฝก
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ ไม้จันทน์หอม (Sandalwood), ไม้ซีดาร์ (Cedarwood), หญ้าแฝก (Vetiver)
-
Mossy Woods
กลิ่นดินและมอสที่ชื้นๆ ให้ความรู้สึกเหมือนพื้นป่าหลังฝนตก มีความหวานปนขรึม ซึ่งเป็นกลิ่นในกลุ่มที่เรียกว่า “ชีเพรอ” (Chypre)
โน้ตที่พบบ่อย ได้แก่ โอ๊คมอส (Oakmoss), อำพัน (Amber), พิมเสน (Patchouli)
-
Dry Woods/Leather
กลิ่นไม้ที่แห้งผสมกับกลิ่นควันไฟและกลิ่นหนัง ให้ความรู้สึกดิบ เท่ และมีความเป็นผู้ใหญ่
โน้ตที่พบบ่อย เช่น หนัง (Leather), ยาสูบ (Tobacco), ไม้เบิร์ช (Birch)
นอกจากกลิ่นในหกลุ่มตระกูลทั้ง 4 บนวงล้อจะมี “รอยต่อ” ระหว่างกลุ่มน้ำหอมซึ่งเป็นกลิ่นที่ก้ำกิ่งระหว่างกัน ในปัจจุบัน Fragrance Wheel ยังถูกนำมาใช้ในการอธิบายถึงการจัดลำดับโทนกลิ่นน้ำหอม รวมถึงการจัดการองค์ประกอบใน Fragrance Pyramid หรือพีระมิดน้ำหอม ที่เป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจการทำงานของน้ำหอมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
Fragrance Pyramid ลำดับชั้นการปล่อยกลิ่นหอม
Fragrance Pyramid หรือ “พีระมิดน้ำหอม” คือ โครงสร้างที่ใช้อธิบายลักษณะและลำดับการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในน้ำหอมตามระยะเวลา เปรียบเทียบได้กับการ “เล่าเรื่อง” ผ่านกลิ่น โดยมีการเปิดเรื่อง ดำเนินเรื่อง และปิดท้ายเรื่อง เหตุผลที่กลิ่นน้ำหอมเปลี่ยนแปลงไปหลังฉีด เป็นเพราะส่วนผสมโน้ตกลิ่น (Notes) แต่ละชนิดมีขนาดโมเลกุลและอัตราการระเหยที่แตกต่างกัน ซึ่งโครงสร้างของพีระมิดน้ำหอมแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Top Notes, Heart (Middle) Notes และ Base Notes
1. Top Notes (กลิ่นแรก)
กลิ่นส่วนที่อยู่บนยอดสุดของพีระมิด หมายถึง กลิ่นแรกที่สัมผัสได้ทันทีหลังจากฉีดน้ำหอม เป็นกลิ่นที่มอบความคมชัดมากที่สุดและระเหยได้รวดเร็วที่สุด เป็นเพราะโมเลกุลที่มีขนาดเล็ก ซึ่งมักเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสดชื่น สดใส และโดดเด่น เพื่อสร้างความประทับใจแรก (First Impression)
- ระยะเวลา – Top Notes จะหอมฟุ้งและชัดเจนที่สุดในช่วง 5-15 นาทีแรก จากนั้นจะค่อยๆ จางหายไป
- ส่วนผสมที่พบบ่อย – เช่น Citrus (มะกรูด, เลมอน, ส้ม), Aromatic (ลาเวนเดอร์, มินต์, โรสแมรี่), หรือ Fruity (แอปเปิล, เบอร์รี)
2. Heart Notes (กลิ่นกลาง)
กลิ่น Heart Notes หรือเรียกอีกอย่างว่า Middle Notes อยู่ส่วนกลางของพีระมิด และเป็นกลิ่น “หัวใจหลัก” ของน้ำหอม ที่จะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นหลังจากกลิ่นแรกจางลงไป ลักษณะของกลิ่นใน Heart Notes จะมีความซับซ้อน กลมกล่อม และเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดบุคลิก (Character) ของน้ำหอม ซึ่งกลิ่นจะมีความทนทานกว่าและฟุ้งกระจายน้อยกว่า Top Notes
- ระยะเวลา – จะเริ่มชัดเจนขึ้นหลังผ่านไปประมาณ 15-20 นาที และคงอยู่ได้ราว 20-60 นาที หลังฉีดไปบนผิว
- ส่วนผสมที่พบบ่อย – เช่น Floral (กุหลาบ, มะลิ, ลิลลี่, ดอกส้ม), Spicy (อบเชย, กระวาน, พริกไทย), Green (ใบไม้สีเขียว, ชาเขียว)
3. Base Notes (กลิ่นฐาน)
คือ กลิ่นที่เป็นฐานโครงสร้างของโทนกลิ่นหลักในน้ำหอมนั้นๆ ประกอบด้วยโมเลกุลขนาดใหญ่และหนักที่สุด ทำให้ระเหยได้ช้าที่สุด โดย Base Notes ส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นที่ลุ่มลึก หนักแน่น อบอุ่น และติดทนนานที่สุด
- ระยะเวลา – จะเริ่มปรากฏขึ้นหลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และจะติดอยู่บนผิวได้ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของน้ำหอม
- ส่วนผสมที่พบบ่อย – เช่น Woody (ไม้จันทน์หอม, ไม้ซีดาร์, หญ้าแฝก), Resinous (กำยาน, ยางไม้หอม), หรือ Sweet/Gourmand (วานิลลา, ทองก้าบีน, แอมเบอร์), Musk (มัสก์)
การเข้าใจโครงสร้างนี้มีประโยชน์อย่างมาก ทั้งในการเลือกซื้อน้ำหอมและผลิตน้ำหอม เพราะไม่ควรตัดสินใจเลือกน้ำหอมจากกลิ่นแรก (Top Notes) ที่ได้กลิ่นทันที แต่ควรรออย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อให้กลิ่นกลาง (Middle Notes) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของน้ำหอมได้ปรากฏตัวขึ้นก่อน จึงจะทำให้ได้รู้จัก “ตัวตนที่แท้จริง” ของน้ำหอมขวดนั้นและตัดสินใจได้ว่าเป็นกลิ่นที่ชอบหรือต้องการจริงๆ หรือไม่ ซึ่งสำคัญอย่างมากในการสื่อสารกับโรงงานน้ำหอม เพื่อสร้างน้ำหอมที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด
แนะนำ 5 แบรนด์น้ำหอมระดับโลกสุดคลาสสิก
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ปัจจุบันมีแบรนด์น้ำหอมจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นทั้งแบรนด์น้ำหอมไทยและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงแบรนด์น้ำหอมที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก THEMYTH ขอแนะนำ Top 5 แบรนด์น้ำหอมสุดคลาสสิกที่มีประวัติศาสตร์และเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมมายาวนาน ซึ่งยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมา ทั้งยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงชาวไทย และเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบหัวเชื้อน้ำหอมแบรนด์ต่างๆ
1. Chanel
แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสที่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา สง่างาม และความคลาสสิกที่ไม่เคยล้าสมัย ก่อตั้งโดย Gabrielle “Coco” Chanel ที่ปฏิวัติวงการแฟชั่นและน้ำหอมไปตลอดกาล น้ำหอมของ Chanel ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของความเรียบหรูที่สมบูรณ์แบบ และเป็นน้ำหอมผู้หญิงยอดนิยมในไทยอีกด้วย
น้ำหอมกลิ่นดังจาก Chanel
- Chanel No. 5 – ตำนานแห่งวงการน้ำหอมที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ด้วยกลิ่นหอมซับซ้อนจากดอกไม้นานาพรรณและ Aldehydes ให้ความรู้สึกหรูหรา คลาสสิก และเหนือกาลเวลา
- Coco Mademoiselle – น้ำหอมที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ความสดใส และมีความมั่นใจ เป็นกลิ่นหอมสดชื่นจากซิตรัส (Citrus) ผสานความหวานของดอกกุหลาบและดอกมะลิ ตัดกับความลุ่มลึกของพิมเสน (Patchouli)
- Bleu de Chanel – น้ำหอมสำหรับสุภาพบุรุษที่ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Chanel ด้วยความหอมสดชื่นจากซิตรัส แต่ลุ่มลึกจากกลิ่นอายของไม้หอม (Woody Aromatic) สะท้อนถึงความอิสระและสุขุมลึกลับ
2. Dior
อีกหนึ่งแบรนด์โอต์กูตูร์ (Haute Couture) จากฝรั่งเศสที่โดดเด่นในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และความเป็นผู้หญิง (Feminine) โดยผู้ก่อตั้ง คริสตีย็อง-ดิออร์ (Christian Dior) มีความหลงใหลในดอกไม้เป็นพิเศษ ทำให้น้ำหอมของ Dior มักมีกลิ่นอายของสวนดอกไม้ที่หอมหวานและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
น้ำหอมกลิ่นดังจาก Dior
- J’adore – น้ำหอมในขวดทรงหยดน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นผู้หญิงที่เจิดจรัสและงดงาม เป็นกลิ่นของช่อดอกไม้สีทองที่รวมกลิ่นดอกไม้หลากชนิดทั้งความหอมหวานของดอกมะลิ ดอกกระดังงา และกุหลาบดามาสก์อย่างลงตัว
- Miss Dior – กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงยอดนิยมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความรักและความโรแมนติก ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน น่าทะนุถนอม เหมือนหญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก ด้วยกลิ่นหลักจากดอกพีโอนีและกุหลาบเซนติโฟเลีย
- Sauvage – น้ำหอมสำหรับผู้ชายที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ที่สื่อถึงความดิบเท่ เย้ายวน และอิสรเสรีด้วยกลิ่น Aromatic Fougere ที่มอบความสดชื่นสุดขั้วของมะกรูดคาลาเบรียน ตามด้วยกลิ่นเครื่องเทศและกลิ่นอันอบอุ่นของแอมบรอกแซน (Ambroxan) จนกลายเป็นหนึ่งกลิ่นที่น่าจดจำของ Dior
3. Gucci
แบรนด์หรูจากอิตาลีที่โดดเด่นด้วยสไตล์ที่ชัดเจน มีความทันสมัย ผสมผสานความวินเทจและความโรแมนติกได้อย่างลงตัว น้ำหอมของ Gucci มักจะสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดและความเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่ยังคงความหรูหราและมีสไตล์โดดเด่นชัดเจน
น้ำหอมกลิ่นดังจาก Gucci
- Gucci Bloom – กลิ่นน้ำหอมที่เหมือนยกสวนดอกไม้สีขาวมาไว้ในขวดเดียว ด้วยกลิ่นหอมที่ชัดเจนของดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) และดอกมะลิ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว
- Gucci Guilty – กลิ่นที่สื่อถึงความกล้าที่จะแตกต่างและปลดปล่อยความเป็นตัวเอง เป็นกลิ่นแนว Ambery Floral ที่มีความเย้ายวนน่าค้นหาจากดอกไลแลค พริกไทยสีชมพู และพิมเสน
- Gucci Flora Gorgeous Gardenia – กลิ่นหอมหวานที่เต็มไปด้วยความสดใสร่าเริงจากดอกสกุลพุด (Gardenia) ผสมผสานความฉ่ำของลูกแพร์และหอมหวานจากบราวน์ชูการ์
4. Giorgio Arnmani
แบรนด์ที่สะท้อนความสง่างามแบบเรียบง่ายในสไตล์อิตาเลียน ไม่โอ้อวดแต่เปี่ยมไปด้วยรสนิยม โดยน้ำหอมของ Giorgio Armani ได้รับแรงบันดาลใจจากความงามของธรรมชาติและความรู้สึกที่ลึกซึ้ง จึงมักเป็นน้ำหอมกลิ่นสะอาดและสดชื่น
น้ำหอมกลิ่นดังจาก Giorgio Armani
- Acqua di Giò -น้ำหอมผู้ชายระดับตำนานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกาะ Pantelleria ประเทศอิตาลี เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของสายน้ำและซิตรัส ให้ความรู้สึกสะอาด สบาย และเป็นอมตะ
- Sì – น้ำหอมสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ที่กล้าจะตอบว่า “ใช่” ให้กับทุกด้านของการใช้ชีวิต เป็นกลิ่นหอมหวานที่สง่างามจากแบล็คเคอร์แรนท์ (Blackcurrant) ผสานกับวานิลลาและพิมเสน
- My Way – กลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวที่สดใสและทันสมัย สื่อถึงการเดินทางและการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยกลิ่นหลักจากดอกส้มและดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose)
5. Yves Saint Laurent (YSL)
แบรนด์จากปารีสที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความเท่แบบร็อกแอนด์โรลได้อย่างลงตัว น้ำหอมของ YSL จึงมักจะมอบความมีเสน่ห์ที่เย้ายวน ลึกลับ และน่าค้นหาให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก
น้ำหอมกลิ่นดังจาก YSL
- Black Opium – กลิ่นหอมชวนเสพติดที่โดดเด่นด้วยโน้ตของกาแฟดำที่ตัดกับความหวานของวานิลลาและดอกไม้สีขาว ให้ความรู้สึกเหมือนหญิงสาวที่เต็มไปด้วยพลัง น่าหลงใหล และความลึกลับในยามค่ำคืน
- Libre – น้ำหอม Libre หรือ “อิสระ” สื่อถึงอิสรภาพและความเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญ เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหอมของดอกส้มโมร็อกโก (Néroli) และความหอมเย็นของดอกลาเวนเดอร์จากฝรั่งเศส ให้ความรู้สึกอิสระและมั่นใจ
- L’Homme – กลิ่นหอมสำหรับสุภาพบุรุษที่สะท้อนเสน่ห์แบบสบายๆ แต่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ด้วยความสดชื่นของขิงและมะกรูด ตัดกับความสุขุมของกลิ่นไม้และเครื่องเทศ
นอกจากแบรนด์ดังและน้ำหอมยอดนิยมที่รีวิวไปข้างต้น ยังมีน้ำหอมกลิ่นอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมในหลายประเทศรวมถึงไทยด้วย เช่น
- Versace Eros Eau De Parfum – กลิ่นหอมสดชื่นปนความหวานเย้ายวนสำหรับสุภาพบุรุษ ด้วยโน้ตเด่นจากมินต์ แอปเปิลเขียว และวานิลลา
- Burberry My Burberry Blush Eau De Parfum – กลิ่นหอมหวานสดใสเหมือนสวนดอกไม้ยามเช้าในลอนดอน ด้วยกลิ่นจากทับทิม กุหลาบ และวิสทีเรีย
- Chloé Atelier des Fleurs Herba Mimosa – กลิ่นหอมนุ่มนวลของดอกมิโมซ่า ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนช่อดอกไม้แห้งที่เปี่ยมด้วยความทรงจำ
- Jo Malone London English Pear & Freesia – กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของลูกแพร์ที่สุกงอมผสมกับดอกฟรีเซียสีขาว ให้ความรู้สึกสดชื่นและหอมหวานเหมือนฤดูใบไม้ร่วง
- Lancôme Idôle: น้ำหอมสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ที่มาพร้อมสโลแกน “I can, we will” โดดเด่นด้วยกลิ่นกุหลาบถึง 4 ชนิด ผสานกับความสดชื่นของลูกแพร์และมะลิ ให้ความรู้สึกที่สะอาด สดใส และเปี่ยมด้วยพลัง เป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายและได้รับความนิยมอยู่เสมอ
- Prada L’Homme: ตัวแทนของผู้ชายที่สุภาพและมีรสนิยม เป็นกลิ่นที่สะอาดมากๆ เหมือนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เพิ่งซักรีดเสร็จใหม่ๆ ด้วยโน้ตหลักจากดอกไอริส ดอกเนโรลี และแอมเบอร์ ให้ความรู้สึกหรูหราแบบไม่ตะโกน
โลกของน้ำหอมนั้นกว้างใหญ่และหลากหลายอย่างน่าทึ่ง กลิ่นในตระกูลต่างๆ ล้วนมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นสดชื่นที่ให้พลังงาน กลิ่นดอกไม้ที่โรแมนติก กลิ่น Oriental ที่หรูหราลึกลับ หรือกลิ่นไม้ที่อบอุ่นและมั่นคง
สำหรับผู้ที่กำลังมองหากลิ่นที่เหมาะกับตัวเองหรือผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแบรนด์น้ำหอม สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจโครงสร้างของกลิ่น และเลือกน้ำหอมกลิ่นที่สื่อถึงเอกลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน เพื่อเป็นการวางแนวทางในการสร้างสรรค์น้ำหอมที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
THEMYTH จัดจำหน่ายหัวเชื้อน้ำหอมและน้ำมันหอมระเหย
สำหรับผู้ที่มองหาพาร์ตเนอร์ในการจัดจำหน่ายFragrance หรือมองหาEssential Oils: (Essential Oils) สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ THEMYTH คือ หนึ่งในผู้นำการจัดจำหน่ายน้ำหอมและวัตถุดิบในประเทศไทย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการใช้หัวน้ำหอมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์และจัดหาวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมทั่วโลก เพื่อส่งต่อความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าให้แก่ทุกคนที่ได้สัมผัส
ติดต่อ THEMYTH
โทร.: +662-969-7644
อีเมล: themyth@themyth.co.th
ติดตาม THEMYTH เพื่อข่าวสารและอัปเดตใหม่ๆ ได้ที่ www.facebook.com/themythsince1998/